
ฟิลเลอร์ปากคืออะไร? สาวๆ ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจทำ
สาระสำคัญ
- ฟิลเลอร์ปากช่วยเพิ่มความอวบอิ่มและปรับรูปทรงริมฝีปาก การฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยเพิ่มปริมาตรให้ริมฝีปากที่บางหรือแห้ง สามารถปรับแต่งรูปทรงริมฝีปากให้ดูสมดุลและเข้ากับใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ
- ฉีดฟิลเลอร์ปากปลอดภัยด้วยสาร Hyaluronic Acid ฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดปากประกอบด้วยกรดไฮยาลูโรนิกซึ่งเป็นสารที่พบตามธรรมชาติในร่างกาย ทำให้มีความปลอดภัยสูงและสามารถย่อยสลายได้เอง
- ฟิลเลอร์ปากกระจับ เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมมาก ฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ ซึ่งจะเน้นรูปทรงตัว "V" ที่ริมฝีปากบน เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ได้รับความนิยมและต้องการความชำนาญสูง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและสมดุล
- ยี่ห้อฟิลเลอร์ยอดนิยมที่ใช้ในการฉีดปาก เช่น Juvederm, Restylane, Belotero, และ Teosyal ต่างมีคุณสมบัติที่เหมาะสำหรับการฉีดปากและให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
- ราคาฉีดฟิลเลอร์ปาก ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและปริมาณที่ใช้ อยู่ระหว่าง 10,000 - 30,000 บาท ต่อซีซี ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ปริมาณที่ใช้ และประสบการณ์ของแพทย์
ประโยชน์ของการฉีดฟิลเลอร์ปาก
การฉีดฟิลเลอร์ปากมีประโยชน์มากมาย ทำให้วิธีการนี้เป็นที่นิยมในวงการความงาม ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับใบหน้า แต่ยังสามารถปรับปรุงปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับริมฝีปากได้ เช่น
- เพิ่มความอวบอิ่ม สำหรับผู้ที่มีริมฝีปากบาง การฉีดฟิลเลอร์สามารถช่วยเพิ่มปริมาตรให้ริมฝีปากดูเต็มและอวบอิ่มมากขึ้น ทำให้ใบหน้าดูมีมิติและน่าดึงดูด
- ปรับรูปทรงริมฝีปาก การฉีดฟิลเลอร์สามารถช่วยปรับแต่งรูปทรงริมฝีปากให้ดูสมดุลและเข้ากับใบหน้าได้ เช่น การสร้างปากกระจับหรือการเพิ่มความโค้งเว้าให้ริมฝีปากบนและล่าง
- เติมเต็มริ้วรอยและเส้นริ้วบนริมฝีปาก Filler สามารถช่วยเติมเต็มริ้วรอยเล็ก ๆ หรือเส้นริ้วที่เกิดขึ้นบนริมฝีปาก ทำให้ริมฝีปากดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ขึ้น
- แก้ไขความไม่สมดุลของริมฝีปาก บางคนอาจมีปัญหาริมฝีปากไม่สมดุล เช่น ปากบนเล็กกว่าปากล่าง การฉีดฟิลเลอร์สามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยการปรับแต่งให้ริมฝีปากดูสมดุลกันมากขึ้น
- เสริมความมั่นใจ ริมฝีปากที่ดูสวยงามและสมบูรณ์สามารถช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์ได้อย่างมาก ทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นกับรูปลักษณ์ของตนเอง
ฉีดฟิลเลอร์ปากต้องใช้กี่ซีซี?
หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก คือ ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการฉีดคือเท่าไหร่? คำตอบของคำถามนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น รูปทรงปากที่ต้องการสร้าง, ความอวบอิ่มที่ต้องการเพิ่ม, และคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ฟิลเลอร์ปาก 1 cc. ถือเป็นปริมาณที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความอวบอิ่มเล็กน้อยหรือสำหรับการปรับรูปทรงปาก ในกรณีที่ต้องการสร้างริมฝีปากที่อวบอิ่มอย่างชัดเจน เช่น การทำปากสายฝอ หรือ ปากกระจับ แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดมากกว่า 1 ซีซี ซึ่งอาจอยู่ที่ประมาณ 1.5-2 ซีซี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการ
การเลือกปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ปาก แพทย์จะทำการวิเคราะห์รูปทรงริมฝีปาก และใบหน้าของคุณเพื่อให้คำแนะนำที่ดีที่สุด
ฟิลเลอร์ปากกระจับ รูปทรงปากที่โดดเด่น
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ
- การวิเคราะห์ใบหน้า แพทย์จะทำการวิเคราะห์รูปทรงใบหน้าและริมฝีปากของคุณเพื่อกำหนดรูปทรงกระจับที่เหมาะสมกับใบหน้าของคุณ
- การเลือกยี่ห้อ แพทย์จะเลือกยี่ห้อและรุ่นที่เหมาะสมสำหรับการฉีดปากกระจับ ฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อได้ดีจะถูกเลือกใช้
- การฉีด แพทย์จะทำการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในริมฝีปากบริเวณที่ต้องการสร้างรูปทรงกระจับ โดยการฉีดจะถูกทำอย่างระมัดระวังเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและเป็นธรรมชาติ
- การดูแลหลังฉีด หลังจากการฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลริมฝีปาก เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
- ศึกษาข้อมูลและเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่สวยงาม
- หลีกเลี่ยงยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการไหลเวียนของเลือด: หยุดการใช้ยาแอสไพริน, วิตามิน E, น้ำมันปลา หรือยา NSAIDs อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนฉีด เพื่อป้องกันการเกิดรอยช้ำและอาการบวม
- งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการบวม
- พักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายของคุณพร้อมสำหรับการฉีด และลดความเสี่ยงในการเกิดอาการข้างเคียง
หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ต้องดูแลอย่างไร?
หลังจากฉีดฟิลเลอร์ปากแล้ว การดูแลตัวเองให้ถูกต้องจะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานและลดอาการข้างเคียง
- หลีกเลี่ยงการกด นวด หรือสัมผัสริมฝีปาก ไม่ควรนวดหรือกดบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์
- งดกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือการสัมผัสความร้อนสูง เช่น การอบซาวน่า หรือการอาบน้ำร้อน ในช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังฉีด
- ดื่มน้ำมากๆ การดื่มน้ำเพียงพอจะช่วยให้ฟิลเลอร์ดูดซับน้ำได้ดีขึ้นและทำให้ริมฝีปากดูเต่งตึงและสุขภาพดี
- งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ควรงดดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่หลังการฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและอาการบวม
- ติดตามอาการและปรึกษาแพทย์ หากมีอาการบวม รอยช้ำ หรืออาการอื่นๆ ที่ผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม
ฉีดฟิลเลอร์ปากอยู่ได้นานไหม?
ฉีดฟิลเลอร์ปาก ราคาเท่าไร?
ฟิลเลอร์ปาก ราคา อาจแตกต่างกันไปตามยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้ และสถานพยาบาลที่ให้บริการ โดยทั่วไปแล้ว ราคาฉีดฟิลเลอร์ปากในประเทศไทยจะอยู่ในช่วง 10,000 – 30,000 บาท ต่อซีซี ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อราคาฟิลเลอร์ปาก เช่น
- ยี่ห้อฟิลเลอร์ แต่ละยี่ห้อมีราคาที่แตกต่างกัน ยี่ห้อที่มีคุณภาพสูงและเป็นที่นิยมเช่น Juvederm และ Restylane มักจะมีราคาสูงกว่ายี่ห้ออื่น ๆ
- ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ ปริมาณที่ต้องใช้ในการฉีดปากจะมีผลต่อราคาสุดท้าย หากต้องการเพิ่มความอวบอิ่มอย่างชัดเจน อาจต้องใช้ฟิลเลอร์มากกว่า 1cc ซึ่งจะทำให้ราคาสูงขึ้น
- สถานพยาบาล สถานพยาบาลที่ให้บริการฉีดฟิลเลอร์มีราคาที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับมาตรฐานและชื่อเสียงของสถานพยาบาล สถานพยาบาลที่มีชื่อเสียงและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากอาจมีราคาสูงกว่าสถานพยาบาลทั่วไป
- ประสบการณ์ของแพทย์ แพทย์ผู้ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการฉีดฟิลเลอร์ปากจะมีการคิดค่าบริการที่สูงขึ้น เนื่องจากผลลัพธ์ที่ได้มีคุณภาพและความปลอดภัยที่สูงกว่า
- โปรโมชันและส่วนลด ในบางครั้งอาจมี โปรโมชั่นเสริมความงามพิเศษ หรือส่วนลด การตรวจสอบโปรโมชันเหล่านี้อาจช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายได้ อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังโปรโมชันที่ราคาต่ำเกินไป เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงต่อคุณภาพของฟิลเลอร์และการบริการ
ฟิลเลอร์ปากยี่ห้อไหนดี?
- Juvederm เป็นฟิลเลอร์ที่ผลิตจากกรดไฮยาลูโรนิกที่มีคุณภาพสูง Juvederm มีหลายรุ่นที่เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ปาก เช่น Juvederm Ultra XC ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูงและให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ยี่ห้อนี้สามารถคงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน
- Restylane ฟิลเลอร์ยี่ห้อนี้เป็นที่นิยมเนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูงและสามารถใช้ในการฉีดฟิลเลอร์ปากได้ดี Restylane Silk เป็นรุ่นที่เหมาะสำหรับการฉีดปาก เนื่องจากมีความละเอียดอ่อนและให้ผลลัพธ์ที่เรียบเนียน ยี่ห้อนี้สามารถคงอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน
- Belotero เป็นฟิลเลอร์ที่มีความละเอียดสูงและสามารถซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อได้ดี Belotero Soft เหมาะสำหรับการฉีดริมฝีปาก เนื่องจากให้ความชุ่มชื้นและความเรียบเนียน ฟิลเลอร์ยี่ห้อนี้สามารถคงอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน
- Teosyal เป็นฟิลเลอร์จากสวิตเซอร์แลนด์ที่มีคุณภาพสูง และมีหลายรุ่นให้เลือกใช้ในการฉีดฟิลเลอร์ปาก Teosyal RHA 2 เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมในการฉีดปาก เนื่องจากมีความยืดหยุ่นและให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ยี่ห้อนี้สามารถคงอยู่ได้นานถึง 9-12 เดือน
- Revanesse ฟิลเลอร์จากแคนาดาที่มีความละเอียดอ่อน และให้ผลลัพธ์ที่เรียบเนียน Revanesse Kiss เป็นรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการฉีดปากโดยเฉพาะ ยี่ห้อนี้สามารถคงอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน
คำแนะนำ : การเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ปาก แพทย์จะช่วยแนะนำยี่ห้อและรุ่นที่เหมาะสมกับความต้องการและรูปทรงริมฝีปากของคุณ
ข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณา
การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นหนึ่งในวิธีการเสริมความงาม ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน แต่ก่อนที่จะตัดสินใจรับการทำศัลยกรรมประเภทนี้ ผู้ที่สนใจควรพิจารณาทั้งข้อดีและข้อเสียอย่างรอบคอบ เพื่อช่วยในการตัดสินใจก่อนทำดังต่อไปนี้
- เพิ่มความอวบอิ่มให้ริมฝีปาก สามารถเพิ่มปริมาตรให้ริมฝีปาก ทำให้ดูอวบอิ่มและมีมิติมากขึ้น
- แก้ไขความไม่สมมาตรของริมฝีปาก สามารถปรับแต่งรูปทรงปากให้สมดุลและสมมาตรมากขึ้นได้
- ลดเลือนริ้วรอยบริเวณรอบปาก ช่วยเติมเต็มร่องลึกรอบปาก ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ขึ้น
- ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว สามารถเห็นผลได้ทันทีหลังการรักษา โดยไม่ต้องรอระยะเวลาฟื้นตัวนาน
- สามารถแก้ไขได้ หากไม่พอใจกับผลลัพธ์ สามารถรอให้ฟิลเลอร์สลายตัวเองตามธรรมชาติ หรือฉีดสารสลายฟิลเลอร์ได้
ข้อเสีย:
- อาการบวมและรอยช้ำหลังการรักษา อาจเกิดอาการบวมหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักหายภายใน 1-2 สัปดาห์
- ความจำเป็นในการรักษาอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน จำเป็นต้องฉีดซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง
- ความเสี่ยงในการเกิดก้อนหรือตุ่มใต้ผิวหนัง หากฉีดไม่ถูกวิธี อาจเกิดก้อนหรือตุ่มใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจต้องรักษาเพิ่มเติม
- โอกาสเกิดการติดเชื้อ มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยเฉพาะหากทำในสถานที่ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือโดยผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ
- ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ การฉีดมากเกินไปอาจทำให้ริมฝีปากดูไม่เป็นธรรมชาติ หรือมีลักษณะที่เรียกว่า “ปากเป็ด”